วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ริโอ เดอ จาเนโร (Rio de Janeiro)


สวัสดีค่ะ
 
          ✎ .. นี่คือบันทึกการเดินทางของ นางสาว แทนจันทร์ สุคนธปฏิภาค ชั้น ม.5/444 ในวิชา ภูมิศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยว ของ อาจารย์ประพิศ ฝาคำ ค่ะ




          ☞ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา.. ขอเริ่มต้นเล่าถึงการเดินทางที่เป็นประสบการณ์ดีๆครั้งหนึ่งในชีวิตไว้ ณ ที่นี่แล้วกันนะคะ .. สถานที่ที่เคยไปเที่ยวแล้วอยากจะนำมาแบ่งปันต่อในงานชิ้นนี้ก็คือ " ริโอ เดอ จาเนโร (Rio de Janeiro) " หรือที่คนบราซิลเรียกว่า ฮิว, ฮิว เดอ จาเนโร นั่นเองค่ะ ก่อนที่จะเริ่มเล่าถึงการเดินทางของเรา จะขอเกริ่นถึงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของ ริโอ เดอ จาเนโร พอสังเขปแล้วกันนะคะ
  



          ► ริโอ เดอ จาเนโร ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศบราซิล (สมัยที่ยังเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสค่ะ ช่วงค.ศ.1960) แต่ในปัจจุบันนั้นได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ กรุงบราซิเลีย แล้วค่ะ ริโอ เดอ จาเนโร ในวันนี้เป็นเพียงเมืองหลวงของรัฐริโอเดอจาเนโร เท่านั้นค่ะ 

          แต่ว่า ริโอ นั้น เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศบราซิลนะคะ (รองลงมาจาก เซาเปาลู São Paulo ค่ะ) แถมยังเป็นเเหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ใครไปบราซิลก็ต้องไปเยี่ยมดูสักครั้งไม่งั้นไม่ถือว่ามาถึงบราซิลนะคะ! แถมเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมาสนามบอลมาราคานา (Maracana) ยังได้รับเกียรติให้เป็นสนามเปิดงาน 2014 FIFA WORLD CUP อีกด้วย 

           และสำหรับปี 2016 นี้ ริโอ เดอ จาเนโร ยังได้รับเลือกให้เป็นเมืองเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 31 ประจำปี 2016 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่จะจัดขึ้น ในเขตทวีปอเมริกาใต้นับตั้งแต่มีการริเริ่มแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเป็นต้นมาอีกด้วยค่ะ!

          เอาล่ะค่ะ อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนก็คงจะพอรู้จัก ริโอ เดอ จาเนโร มากขึ้นแล้วนะคะ ...

          มาเริ่มที่การเดินทางของเราเลยดีกว่าค่ะ!!





          เราได้มีโอกาสไปเที่ยวริโออยู่สองครั้งค่ะ ครั้งแรกไปกับโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เราสังกัดอยู่ ส่วนครั้งที่สองไปกันเองกับเพื่อนๆสี่ห้าคนค่ะ ทั้งสองครั้งก็ได้ประสบการณ์ที่ต่างกันออกไป ครั้งแรกนี่จะเป็นการท่องเที่ยวแบบลูกคุณหนูทัวร์ค่ะ คือไปที่ไหนก็ไม่ต้องรอคิว เข้าได้เลย ได้เที่ยวสถานที่สำคัญๆหลายที่มากโดยไม่ต้องวุ่นวายจัดการเอกสารอะไรเอง แต่ครั้งที่สองนี่ลำบากหนักเลยค่ะ ไปกันเอง คนพาไปก็ดันทิ้งเราซะอีก เราก็เลยต้องขวนขวายเอาตัวรอดกันเอง แต่ก็เป็นประสบการณ์ประหลาดๆที่สนุกดีค่ะ 


 


          ✎ ริโอเป็นเมืองที่สวยมากๆค่ะ ติดทะเล มีทะเลสาบในตัว มีสถาปัตยกรรมแบบยุโรป เมืองก็ค่อนข้างสะอาดนะคะ ถึงแม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่อาชญากรรมติดระดับโลก แต่เอาเข้าจริงแล้ว มันไม่ได้รุนแรงหรืออันตรายขนาดนั้นนะคะในพาร์ทที่เาเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว คือริโอเนี่ยจะเเบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่งค่ะ ฝั่งหนึ่งจะเป็นฝั่งเมืองท่องเที่ยว เมืองคนรวย ที่จะค่อนข้างปลอดภัยหน่อยนึง มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะ อะไรแบบนั้น ส่วนอีกฝั่งจะเป็นเนินเขาขึ้นไปแล้วมีแต่สลัม อย่างในรูปนี้ ฝั่งสลัมก็คือฝั่งที่อยู่ด้านหลังของพระเยซู ฝั่งที่กล้องไม่ได้ถ่ายนี่แหละค่ะ




           สำหรับรูปปั้นพระเซู ชาวบราซิลจะเรียกกันว่คริสตู เฮเดนตอห์ หรือ คริสตู (Cristo Redentor) เป็นสัญลักษณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่พอพูดถึงบราซิล หรือ ริโอ จะต้องนึกถึง เช่นเดียวกับ สีเขียวเหลืองที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของประเทศนี้ค่ะ ในการขึ้นไปที่คริสตูจะต้องขึ้นเขาค่ะ แต่ที่นู่นเขาจะมีบริการรถรางให้นั่งขึ้นไป ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็จะขึ้นไปถึงค่ะ พอขึ้นไปถึงก็จะต้องผ่านด่านบันไดที่วนแล้ววนอีกขึ้นไป เดินกันจนขาลากแต่สุดท้ายก็ขึ้นไปอัดกันอยู่ข้างบนจนได้ค่ะ คนเยอะมากกกกก ถึงขั้นที่ว่าจะหามุมถ่ายรูปทีนี่แทบจะลงไปนอนกลิ้งหามุมอยู่ที่พื้นกว่าจะถ่ายติดรูปปั้นมาสักรูป





          รูปปั้นนี่สูงมากเลยนะคะ คือสามารถมองจากหาดโคปาคาบาน่า (Copacabana Beach) ได้ ซึ่งมันไกลกันมากกกกก อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าบราซิลเป็นประเทศที่ใหญ่มากกกก ดังนั้น ถึงแม้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเดียวกัน แต่มันก็ใกล้กันมากกกๆๆอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ ไหนๆก็พูดถึงหาดโคปาคาบาน่าแล้ว จะขอเล่าถึงหาดนี้เลยแล้วกันนะคะ โคปาคาบาน่า นี่เป็นหาดที่มีความยาวมากที่สุดในโลกถึง 5 km. ด้วยกันค่ะ แถมเดินถัดไปอีกนิดก็จะเจอหาด อิปาเนมา ซึ่งเป็นหาดยอดนิยมอีกหาดนึงเช่นกันค่ะ 


 

          ส่วนใหญ่คนที่มาก็มักจะมานอนอาบแดดกันค่ะ นั่งๆนอนๆกันไม่ค่อยมีคนลงไปเล่นน้ำเพราะคลื่นแรงมากกกกกก ภูมิประเทศฝั่งนี้จะติดกับมหาสมุทรเเอตแลนติกโดยตรงเลยค่ะ ไม่มีเกาะไม่มีอะไรมากั้นทั้งสิ้น หมดจากเขตผืนแผ่นดินแล้วก็เป็นมหาสมุทรเลย เลยทำให้คลื่นลมค่อนข้างที่จะแรงมาก อย่างรูปข้างบนนี่หาโอกาสยากมากเลยค่ะที่คนจะน้อยแบบนี้ ปกตินี่เต็มทั้ง 4 กิโลกว่า 5 กิโลของหาดเลยค่ะ หาที่นั่งที่กางร่มยากมากกกกกกกก แต่ถึงเป็นแบบนั้น ช่วงวันหยุดที่คนเยอะนั่นก็บรรยากาศดีมากๆเลยนะคะ มันจะดูสนุกสนาน สมกับเป็นเมืองแซมบ้ามากๆค่ะ มีทั้งคนมาเตะบอลชายหาด เล่นเซิร์ฟ ว่าว นอนอาบแดด ก่อปราสาททราย 




            แถมในวันอาทิตย์ของทุกสัปดาห์ ถนนใหญ่ที่กั้นระหว่างชายหาดกับตัวเมืองก็ยังปิดให้ 3 เลน (เลนที่ติดกับชายหาดค่ะ) ปิดให้คนมาทำกิจกรรม เช่น ขายของ ขับรถเช่า เล่นสเกต เล่นโรลเลอร์สเกต วิ่งออกกำลัง ฯลฯ สารพัดที่จะเลือกทำเลยล่ะค่ะ ถือว่าเป็นเผนการท่องเที่ยวที่ดีมากเลยนะคะ มันทำให้คนออกมาเที่ยวชมเมืองมากขึ้น ได้พบปะผู้คนหลากหลายมากขึ้น อย่างเช่น หนุ่มน้อยคนนี้ ที่พอเดินเข้าไปคุยด้วย เขาก็ยินดีที่จะคุยกับชาวต่างชาติแบบเราค่ะ ด้วยความที่ริโอเป็นเมืองที่เจริญมากๆแล้วเมืองหนึ่งของบราซิล ทำให้คนส่วนใหญ่ที่นี่พูดได้สามภาษา คือ โปรตุเกส (ภาษาราชการ) อังกฤษ และสเปน ค่ะ 




         พอตกเย็นเราก็ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินกันโดยขึ้น เปา ดิ อาซูกา (Pão de Açúcar) หรือ ที่เรียกง่ายๆว่า กระเช้าลอยฟ้า พอขึ้นไปมันจะมีจุดพักให้สามจุดค่ะ เราจะหยุดดูที่จุดแรกหรือขึ้นไปจนสุดเลยก็ได้ค่ะ ถ้าขึ้นไปจนสุดแล้ว จะเห็นวิวของริโอแบบกว้างมากกกกกก สวยมากๆๆๆๆเลยล่ะค่ะ (แต่กว่าจะขึ้นไปถึงก็เย็นมากๆเเล้ว ภาพที่ถ่ายมาได้เลยเเทบจะมีแต่วิวตอนกลางคืนค่ะ) 




 
          เช้าวันต่อมา เราก็ไปตะลุยทัวร์สถานที่สำคัญอีกเล็กน้อย คือ บันไดกระเบื้อง Saleron, Lapa, สามฟุตบอล Maracana, สลัมที่ปลอดอาชญากรรมแล้ว และสถาปัตยกรรมต่างๆค่ะ สำหรับบันไดกระเบื้อง Saleron นั้น มันมีความสุดยอดตรงที่กระเบื้องที่นำมาแปะที่บันไดนั้นมาจากหลายร้อยประเทศทั่วโลก! (หนึ่งในกระเบื้องเหล่านั้นก็มีของไทยด้วยนะคะ แหม้ ใครกันน้อเป็นคนเอาไปแปะไว้?) ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดฮิตในการถ่ายรูปเลยล่ะค่ะ แบบที่ว่าเห็นแล้วต้องร้องอ๋อ! ริโอใช่มั้ยล่ะ! 


 

          จากนั้นเราก็เดินผ่าน Lapa เพื่อไปเยี่ยมชมเมืองด้วยการเดินเท้าค่ะ Lapa นี่มีความสำคัญคือมันเคยเป็นเส้นทางรถไฟของริโอมาก่อนค่ะ แต่ปัจจุบันถูกทำลายทิ้งไปหมดแล้วเหลืออยู่แค่ที่บริเวณลาปา แล้วกลายเป็นเส้นทางเดินกระแสไฟหรือกระแสน้ำนี่แหละค่ะ ส่วนพื้นที่โล่งๆด้านล่างก็กลายเป็นตลาดนัดกึ่งแหล่งปาร์ตี้ตอนกลางคืนแทนค่ะ 


 

           หลังจากเดินผ่านลาปามาเล็กน้อย เราก็จะเจอกับ Street arts พวกจิตรกรรมฝาผนังค่ะ ซึ่งสีสันของที่นี่จัดจ้านมาก มีเอกลักษณ์โดดเด่นมากๆเลย แต่ถ่ายรูปได้ไม่ค่อยเยอะเนื่องจากแถวนี้ค่อนข้างอันตรายค่ะ โจรชุกชุมประมาณนึงเลย ทางไกด์ก็เลยรีบพาให้พวกเราเดินไปที่จุดศูนย์กลางของริโอ 





          จุดเมืองเก่าที่เคยเป็นพระราชวัง สถานฑูตต่างๆ หรือพวกสถานที่สำคัญๆทางราชการ ซึ่งตึกรามบ้านช่องจะให้ความรู้สึกแบบยุโรปเลยค่ะ ยิ่งในที่ที่เคยเป็นสถานที่สำคัญทางการเมืองเท่าไหร่ สภาพโดยรอบก็จะยิ่งดูดีมีกุลมากขึ้นค่ะ ทางเท้าจะเป็นหินที่ดูเรียบร้อยหรูหรา บางทีก็คุมโทนสถาปัตยกรรมเป็นแบบกอธิคผสม สวยมากๆเลยล่ะค่ะ ให้ความรู้สึกอลังการงานสร้างมากๆ


 


          หลังจากนั้นเราก็ไปเยี่ยมสนามฟุตบอลมาราคานา (Maracana Stadium) กันค่ะ ซึ่งสนามฟุตบอลแห่งนี้คือสถานที่จัดพิธีเปิด FIFA Worldcup 2014 ที่ผ่านมานั่นเองค่ะ สถานที่จริงค่อนข้างยิ่งใหญ่อลังการเลยล่ะค่ะ อยู่ในสภาพดีมากๆ เก้าอี้อะไรก็ยังดูสีสันสดใสอยู่ (เนื่องจากเพิ่งเปิดใช้ในช่วงบอลโลกเลยค่ะ ตอนไปเยี่ยมชมก็ยังมีสถานที่บางส่วนที่ยังสร้างไม่เสร็จอยู่เลย) หลังจากเดินเที่ยวชม ถ่ายรูปกันไปเรียบร้อยแล้ว ก็ไปจบที่สถานที่สุดท้ายของทริปนี้ค่ะ นั่นก็คือ สลัมที่ปลอดอาชญากรรมแล้วอย่าง Rocinha Favela หรือสลัมโรซินยา ที่อดีตเคยเป็นสลัมขนาดใหญ่ที่ชุกชุมไปด้วยยาเสพติด และอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆแต่ถูกกวาดล้างให้กลายเป็นสลัมตัวอย่างโดยตำรวจ ปัจจุบันจึงเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของริโอ เดอ จาเนโร ค่ะ




          ทางเดินขึ้นไปที่จุดชมวิวของสลัมแห่งนี้ค่ะ ภาพวาดที่เห็นแขวนอยู่เขาก็ขายนะคะ จะมีร้านคล้ายๆร้านขายของชำร่วยอยู่ มีพวกโปสการ์ด เสื้อ ภาพวาด อะไรแบบนี้ค่ะ ราคาก็ตกประมาณ 10-15 Reais หรือประมาณร้อยกว่าบาทค่ะ พอขึ้นไปสูงๆจะมีร้านบาร์ต่างๆอยู่ด้วยนะคะ เขาบอกว่าช่วงที่ไปตอนนั้นเทศกาลพอดี ตกกลางคืนจะคึกคักมากเลยค่ะ มีเพลง มีดนตรี คนเต้นรำกันสนุกสนานมากๆ น่าเสียดายที่พวกเราไปในฐานะเด็กนักเรียนและยังอายุไม่ถึงกันเลยอดดูกิจกรรมสนุกๆของเขาเลยค่ะ




          ในภาพนี้เป็นจุดพักเหนื่อยก่อนจะถึงทางออกค่ะ สภาพแต่ละคนตอนนั้นคือเหนื่อยและเพลียกันมากๆเพราะอากาศค่อนข้างร้อนจนแสบผิวพอสมควร และด้วยความที่ตึกมันแออัดมากๆทำให้ไม่มีช่องลมเลยค่ะ ร้อนมากกกๆๆ เวลาเดินขึ้นลงเนี่ย เราก็จะได้พบกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นั่นบ้างประปราย ตอนนั้นที่เราไป เด็กๆเขาตื่นเต้นกันมากๆเลยนะคะ ยิ่งเห็นว่าเราพอพูดภาษาเขาได้ด้วยยิ่งตื่นเต้นค่ะ (คนเอเชียไม่ค่อยจะมาเที่ยวแถวนี้เท่าไหร่ค่ะ) เป็นเรื่องราวดีๆเลยล่ะค่ะ




           เดินจนเหนื่อยก็มาถึงทางออกค่ะ พอถ่ายย้อนขึ้นไปแบบนี้แล้วก็โอ้โห.. เมื่อกี้เราเดินขึ้นไปจนสุดนี่จริงๆเหรอเนี่ย เหนื่อยมากกกกกกกกก แล้วก็สูงมากๆด้วย พอลงมาถึงก็รู้สึกว่า สุดยอดไปเลยล่ะค่ะ จบทริปด้วยการกลับไปนอนบนเตียงอุ่นๆของโรงแรม กินอาหารดีๆที่เขาพาไปเลี้ยง จบทริปกับสถาบันที่ไปด้วยแบบสบายๆค่ะ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆเลย




          การมาทริปริโอ เดอ จาเนโร ในครั้งนี้ทำให้เราได้เรียนรู้หลายๆอย่างเลยค่ะ ทั้งวัฒนธรรมที่แตกต่าง อย่างที่ริโอกับเมืองที่เราไปแลกเปลี่ยนอยู่ก็มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันค่ะ และแน่นอนว่าไม่เหมือนกับที่ไทยเลยด้วย ทั้งอาหารการกินที่มีเอกลักษณ์ ดนตรี สถานที่ท่องเที่ยว สถาปัตยกรรม และผู้คน ล้วนมีรายละเอียด มีเรื่องราวที่แตกต่างกันไปและน่าสนใจมากๆเลยล่ะค่ะ หวังว่า Blog แนะนำเมือง ริโอ เดอ จาเนโร ของเราในครั้งนี้ จะมอบความคิดแปลกใหม่ หรือความรู้ใหม่ๆให้ผู้ที่เข้ามาอ่านบ้างนะคะ :)



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 
น.ส.แทนจันทร์ สุคนธปฏิภาค ม.5/444 เลขที่ 10

 







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น